Nutrition Facts for McDonald’s Menu
Ray Kroc ต้องการสร้างระบบร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในการจัดหาอาหารที่มีคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอและมีวิธีการเตรียมที่สม่ำเสมอ เขาต้องการให้บริการเบอร์เกอร์ขนมปังมันฝรั่งทอดและเครื่องดื่มที่มีรสชาติเหมือนกันในอลาสก้าเช่นเดียวกับในอลาบามา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้เขาเลือกเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร: ชักชวนทั้งผู้ได้รับสิทธิ์และซัพพลายเออร์ให้ซื้อวิสัยทัศน์ของเขาโดยไม่ทำงานกับแมคโดนัลด์ แต่เพื่อตัวเองพร้อมกับแมคโดนัลด์ รายการเมนูที่โด่งดังที่สุดของ McDonald หลายรายการเช่น Big Mac, Filet-O-Fish และ Egg McMuffin ถูกสร้างขึ้นโดยแฟรนไชส์
ไม่ว่าจะผ่านไปเพียงใดแต่การวิเคราะห์บริษัท (business analysis) ก็ยังเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งเพราะมันเปิดเผยให้เราล่วงรู้ถึงกลยุทธ์ เทคนิคและข้อมูลสำคัญที่แบรนด์ครอบครองอยู่อย่างรอบด้าน
ทุกวันนี้ McDonald’s เป็นหนึ่งในแบรนด์อาหารทานด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลูกค้ากว่า 68 ล้านคนทุกวันในร้านอาหารกว่า 36,615 สาขาใน 119 ประเทศทั่วโลก กลยุทธ์การตลาดครอบคลุมสเกลระดับโลกแม้จะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์บางอย่างให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น โปรโมชั่นจะเน้นโฆษณาบนสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศที่ไม่มีเครือข่ายระบบอินเตอร์เน็ตดีมากนัก ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าแบรนด์ทำการตลาดได้ประสบความสำเร็จระดับโลกและกลายเป็นเจ้าพ่อธุรกิจอาหารทานด่วนรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก
บทความนี้วิเคราะห์ข้อมูลจุดอ่อนจุดแข็ง (SWOT analysis) และวิเคราะห์ส่วนผสมการตลาด (4P) ของ McDonald’s เพื่อเป็นฐานในการทำความเข้าใจแบรนด์ต่อไปในปี 2017
Swot Analysis
จุดแข็งของเเบรนด์
แบรนด์อันเข้มแข็ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแบรนด์ McDonald’s เป็นแบรนด์ที่มีความเข้มแข็งมากที่สุดในโลกแบรนด์หนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่ไหนของมุมโลก คุณยังพบเห็นชื่อ McDonald’s และยังสามารถอิ่มอร่อยกับเมนูยอดฮิตอย่างแฮมเบอร์เกอร์หรือมันฝรั่งทอดได้ Forbes จัดอันดับให้ McDonald’s เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก
ส่วนแบ่งการตลาด
McDonald’s ถือเป็นแบรนด์ที่แย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดระดับโลกได้มากที่สุด โดยในปี 2006 แม้ Burgers King และ Wendy’s จะเสียส่วนแบ่งการตลาดไปครั้งมโหราฬ แต่ส่วนแบ่งของ McDonald’s กลับยิ่งขึ้นเอาขึ้นเอา ส่วนแบ่งการตลาดของ McDonald’s ทั่วโลกปัจจุบันคือ 17% ขณะที่แบรนด์อย่าง Wendy’s หรือ Burgers King ได้ไปเพียง 2%
การฝึกฝนพนักงาน
จุดเด่นของ McDonald’s คือการบริหารผู้จัดการอย่างเข้มข้นถึงขนาดที่หลายคนเรียกโปรแกรม “มหาวิทยาลัยเบอร์เกอร์” ธุรกิจของพวกเขาเน้นการอบรมขั้นตอนการปฏิบัติงาน การบริการ คุณภาพ และความสะอาดเป็นสำคัญ
การตลาด
กลยุทธ์การตลาดของ McDonald’s เน้นการปรับตัวให้เข้ากับประเทศเป้าหมายโดยไม่สูญเสียเมนูหรือภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปซะทั้งหมด มีบางส่วนที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับท้องถิ่น เช่น เมนูข้าวกระเพราในประเทศไทย แต่หลายส่วนก็ยังคงเอกลักษณ์ เช่น แฮมเบอร์เกอร์หลายสูตรที่เป็นของมาตรฐานทั่วโลก
จุดอ่อนของแบรนด์
ภาพลักษณ์แบรนด์ที่เริ่มย่ำแย่
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา McDonald’s กลายเป็นเป้าโจมตีของนักรณรงค์มากมาย หนังอย่าง Supersize Me เน้นโจมตี McDonald’s อย่างจังและทำให้ผู้คนหวาดผวาความอ้วนจากอาหารทานด่วนด้วยการเปิดเผยจำนวนแคลอรี่ในอาหารที่มากเกินกว่าที่ผู้บริโภคจะรับได้
การเปลี่ยนพนักงานบ่อย
ทั้งๆ ที่มีการเทรนพนักงานระดับผู้จัดการอย่างเข้นข้นแต่พนักงานทั่วไปกลับไม่ค่อยมีการพัฒนาเท่าไหร่ทำให้อัตราการเปลี่ยนพนักงานของ McDonald’s สูงไม่เปลี่ยนแปลง พนักงานหลายคนลาออกเพราะเงินเดือนต่ำและงานหนักในช่วงที่ธุรกิจกำลังบูม ซึ่งการลาออกมากส่งผลให้ต้องเสียเงินไปกับการฝึกสอนพนักงานขึ้นมาใหม่อีก
คู่แข่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็น
ธุรกิจร้านอาหารทานด่วนตั้งแต่อดีตมาก็มีคู่แข่งมากมาย ยิ่งในปัจจุบันที่คนรุ่นใหม่ฝันจะมีกิจการของตัวเอง ร้านอาหารแนวใหม่ก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเช่นกัน อย่างในประเทศไทยก็มีคนรุ่นใหม่เปิดร้านเบอร์เกอร์ ร้านอาหารตามสั่งครีเอทที่ได้ทั้งความอร่อยและสุขภาพ นอกจากนี้ รสนิยมทางด้านการกินของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปทุกวัน มีอาหารมากมายจากหลายชาติทั่วโลกให้เลือกสรรดังนั้นความอร่อยของพวกเขาจึงไม่ได้เป็นแบบฉบับที่ McDonald’s นำเสนออย่างเดียวอีกต่อไป
โอกาสของแบรนด์
เทคโนโลยี
การลงทุนในระบบอินเตอร์เน็ตของ McDonald’s ในร้านสาขาทั่วโลกทำให้พวกเขาสามารถรับออร์เดอร์ออนไลน์ พัฒนาระบบการส่งอาหาร ย่นเวลาการเตรียมอาหารและคำนวณการสั่งของให้แม่นยำ ผลที่ได้คือความสะดวกทั้งกับร้านและผู้บริโภครวมถึงได้ภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น
การเติบโตของอุตสาหกรรม
ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปพร้อมกับนิสัยการกินที่อยากทานอะไรเร็วๆ และไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ในอดีต กลุ่มลูกค้า McDonald’s มักเป็นคนทำงานหรือคนขับรถที่ยุ่งทั้งวันจนไม่มีเวลาทานอาหาร แต่ตอนนี้ McDonald’s เป็นเหมือนอาหารแสนสะดวกที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง และ McDonald’s บางประเทศยังจับมือกับ Uber Eats เพื่อส่งอาหารไปยังบ้านคนสั่งทันใจอีกด้วย
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
McDonald’s อาจเป็นแบรนด์แรกๆ ของอาหารทานด่วนระดับโลกที่ออกมาชูเรื่องพลังงานสีเขียวและบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติถือเป็นหัวข้อมาแรงและมันทำให้แบรนด์มีเรื่องเล่าไปใช้ในงานสร้างสรรค์ กลยุทธ์การตลาด และการโฆษณา
อุปสรรคของแบรนด์
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
เมื่อเกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2008 ธุรกิจอาหารทานด่วนก็มีผลประกอบการลดลงเสมอมาเพราะอาหารทานด่วนในหลายประเทศอาจเป็นของฟุ่มเฟือยที่มีราคาแพงและไม่ได้ทานได้ทุกวัน
ปัญหาสิ่งแวดล้อม
แม้แบรนด์จะพยายามชูนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแต่อย่างไรซะ ธุรกิจขนาดใหญ่ทุกธุรกิจก็ต้องถูกโจมตีจากนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวว่าทำให้เกิดภาวะโลกร้อนรุนแรง พื้นที่ป่าหายไป ดังนั้น แบรนด์ต้องติดตามสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและการเคลื่อนไหวของนักรณรงค์เพื่อดูว่าตัวเองตกเข้าไปอยู่ในกระแสเมื่อไหร่
วิกฤติสุขภาพ
โรคอ้วนกลายเป็นปัญหาที่เกิดกับประชากรทั่วโลกอย่างเป็นสากลและหนึ่งในจำเลยก็คือธุรกิจอาหารทานด่วนอย่าง McDonald’s ที่ถูกบอกว่ามีปริมาณสารอาหารแย่เอามากๆ เฉพาะ McDonald’s มีภาพยนตร์ Supersize Me ที่ออกมาโจมตีการบริโภคสินค้าและบริการของแบรนด์โดยตรง นี้เป็นวิกฤติที่ทำให้คนใส่ใจสุขภาพยุคใหม่อาจหันไปหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าก็เป็นได้
ทางด้านส่วนผสมการตลาดนั้น McDonald’s สามารถวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้
ส่วนผสมการตลาดด้านผลิตภัณฑ์
แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์หลักของ McDonald’s ก็เป็นอาหารและเครื่องดื่ม อันที่จริงแล้วส่วนนี้จะรวมทั้งสินค้าแบบจับต้องได้และบริการอื่นๆ ที่จับต้องไม่ได้ด้วย สินค้าหลักของ McDonald’s มีดังต่อไปนี้
- 1.แฮมเบอร์เกอร์และแซนวิช
- 2.ไก่และปลา
- 3.สลัด
- 4.ของว่างและเครื่องเคียง
- 5.เครื่องดื่ม
- 6.ของหวานและน้ำปั่น
- 7.อาหารเช้า
- 8.McCafe
แม้หลายคนจะคิดว่าแมคโดนัลด์ขายแต่เบอร์เกอร์ แต่อันที่จริงแล้วแบรนด์ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ออกไปมากมายในปัจจุบันซึ่งแสดงให้เห็นว่าแบรนด์มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะดึงดูดลูกค้าให้กลายเป็นขาประจำ
ส่วนผสมการตลาดด้านสถานที่และการขนส่ง
ร้านของ McDonald’s จะเน้นสถานที่ที่เข้าถึงง่าย ในประเทศไทยเราจะเห็นว่าแบรนด์อาหารทานด่วนนี้มักเลือกโลเคชั่นหน้าห้างที่สามารถเปิดขายอาหารตอนเช้าได้ ตามย่านธุรกิจ หรือตามปั้มน้ำมัน ลักษณะร้านหลักๆ ของ McDonald’s มีดังต่อไปนี้
- 1.ร้านอาหาร
- 2. บูธขายสินค้า
- 3.ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์
- 4.แอพพลิเคชั่นบนโมบาย
ทั่วไปแล้ว ยอดขายส่วนใหญ่ของ McDonald’s ก็มาจากร้านอาหารเป็นสัดส่วนเยอะที่สุด บางร้านมีบูธย่อย (อย่างเช่น McCafe) เพื่อขายเครื่องดื่มหรือของหวานเฉพาะ บางบูธก็เป็นแบบชั่วคราวเพื่อจัดในงานประจำปีหรืองานแข่งขันกีฬา นอกจากนี้แอพพลิเคชั่นของ McDonald’s มักมีโปรโมชั่นพิเศษให้ลูกค้าเข้าไปรับสิทธิผ่านร้านอาหารได้เยอะพิเศษ กลยุทธ์ทั้งหมดของ McDonald’s มักไม่นิยมทำเดี่ยวๆ แต่นิยมให้ลูกค้าเข้ามาในร้านอาหารด้วย
ส่วนผสมการตลาดด้านโปรโมชั่น
แน่นอนว่าโปรโมชั่นเป็นทีเด็ดที่ส่งให้แบรนด์ไปถึงดวงดาว ส่วนผสมนี้เน้นให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้และเป็นเทคนิคทำให้ McDonald’s สามารถยืนหยัดค้าขายได้ต่อเนื่อง
- 1.โฆษณา
- 2.โปรโมชั่นด้านการขาย
- 3.ประชาสัมพันธ์
- 4.ขายตรง
โฆษณาของ McDonald’s เป็นกลไกที่แบรนด์เน้นมากที่สุด บริษัทจะใช้การโฆษณาผ่านทีวี วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และออนไลน์มีเดียผสมรวมกันทั้งหมด McDonald’s ใช้โปรโมชั่นดึงคนเข้าร้านเป็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น บริษัทจะให้บัตรส่วนลดหรือแลกซื้อเพื่อให้ลูกค้าเดินเข้าร้าน ส่วนกิจกรรม CSR เน้นทำงานกับชุมชน เช่น Ronald McDonald House ช่วยเหลือชุมชนให้รู้จักการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งสนับสนุนชุมชนและเพิ่มคุณค่าแบรนด์ให้ดูดีขึ้น นอกจากนี้ McDonald’s ยังมีบริการจัดงานในสถานที่ทั้งลูกค้าที่เป็นเอกชนและรัฐบาล กิจกรรมทั่วไปหรืองานปาร์ตี้ แต่ทั้งหมด McDonald’s จะเน้นโปรโมทสินค้าของตัวเองเสมอ
Nutrition Facts for McDonald’s Menu
ชุดข้อมูลนี้ให้การวิเคราะห์ทางโภชนาการของทุกรายการเมนูในเมนูของ McDonald ของสหรัฐอเมริการวมถึงอาหารเช้าเบอร์เกอร์เนื้อไก่และปลาแซนวิชทอดมันฝรั่งสลัดโซดากาแฟและชามิลค์เชคและของหวาน
รายการเมนูและข้อมูลโภชนาการมาจากการสุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยของโภชนาสูงสุดของในแต่ละประเภท ประเภทละ 3 ตัวอย่าง นำมาวิเคราะห์ช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารในการรับประทานต่อวัน
ประเภทอาหาร
- 1. Breakfast
- 2. Beef & Pork
- 3. Chicken & Fish
- 4. Salads
- 5. Snacks & Sides
- 6. Desserts
- 7. Beverages
- 8. Coffee & Tea
- 9. Smoothies & Shakes
ข้อมูลโภชนาการเมนูอาหารของ Mc Donald’s Menu
โปรตีน
แหล่งโปรตีนมีมากมายพบได้ทั้งในพืช และเนื้อสัตว์ ถึงแม้ว่าคนส่วนมากเมื่อคิดถึงโปรตีนก็มักจะคิดถึงเนื้อสัตว์เป็นอันดับแรก จึงพยายามทาน นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆก่อนเพราะเชื่อว่าอาหารเหล่านี้จะช่วยให้แข็งแรง ซึ่งโปรตีนนั้นมีความสำคัญกับร่างกายมากโดยเฉพาะในวัยที่กำลังเจริญเติบโต เนื่องโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย นับตั้งแต่เส้นผมไปนถึงปลายเท้า ทุกๆส่วนของอวัยวะทั้งในและนอกร่างกายล้วนประกอบด้วยโปรตีน และเจ้าโปรตีนยังช่วยให้ร่างกายและอวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างเป็นปรกติอีกด้วย
โปรตีนทำหน้าที่อะไร
เราทุกคนอาจจะรู้และเข้าใจเพียงแต่ว่าโปรตีนนั้นมีปรโยชน์ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและเสริมสร้ากล้ามเนื้อและการเจริญเติบโต ซึ่งหน้าที่ของโปรตีนนั้นมีมากมายไม่เพียงแต่ประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น แต่ยังมีอีกหลายข้อดังนี้
- เป็นโครงสร้างของร่างกายเป็นโครงกระดูกโดยจะมีแคลเซียมฟอสฟอรัสและเกลือแร่มาช่วยทำให้แข็งขึ้น
- ทำหน้าที่ในการเป็นส่วนประกอบของอวัยวะและเซลล์
ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และสารอาหารต่าง ๆ ไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย - เป็นภูมิต้านทานโรคซึ่งเป็นลักษณะของโปรตีน หรือภูมิต้านทาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดขาว
- เป็นองค์ประกอบของน้ำย่อยต่างๆ
เราควรทานโปรตีนเท่าไหร่ต่อวัน
สำหรับปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมนั้น สามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ บุคคลทั่วไปที่ร่างกายไม่ได้ต้องการโปรตีนเป็นพิเศษ และบุคคลที่ต้องการโปรตีนสูง เช่นนักกีฬาหรือผู้ออกกำลังกายหนัก
สำหรับบุคคลทั่วไปนั้น องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า โดยปรกติแล้วร่างกายจะต้องการโปรตีนไม่น้อยกว่า 50 กรัมต่อวันต่อคน ถ้าหากได้รับน้อยเกินกว่าปริมาณที่กำหนดอาจส่งผลให้เจริญเติบโตช้า อ่อนเพลีย สมองสั่งการช้ากว่าปรกติทำให้มีความต้านทานต่อโรคต่ำ และอาจเจ็บป่วยและเป็นโรงต่างๆได้ง่าย โดยสามารถแบ่งปริมาณความต้องการโปรตีนได้ตามช่วงอายุดังนี้
- เด็กทารก(อายุ1-3ขวบ)จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1.2กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 15 กรัมต่อวัน
- เด็กเล็ก(อายุ3-7ขวบ)จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1.1กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 26 กรัมต่อวัน
- เด็กโต(อายุ7-14ขวบ)จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 45 กรัมต่อวัน โดยโปรตีนในกลุ่มเด็กทั้ง 3 วัยนี้มีหน้าที่หลักในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยให้ร่างกายเจริณเติบโต
- ผู้ใหญ่ จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 55 กรัมต่อวัน โปรตีนในผู้ใหญ่จะมีหน้าที่หลักเพื่อไว้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- หญิงตั้งครรค์ จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1.1-1.3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 75 กรัมต่อวัน โดยโปรตีนจะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการสร้างน้ำนมนั้นเอง
ถ้าร่างกายขาดโปรตีนจะมีผลอย่างไร
โปรตีนเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นเมื่อขาดโปรตีนหรือได้รับโปรตีนจากอาหารน้อยเกินไป ก็จะมีผลต่อร่างกายดังต่อไปนี้
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีอาการเหน็บชา และเป็นตะคริวบ่อยครั้ง
- รู้สึกอ่อนเพลีย เจ็บป่วยง่าย ในผู้หญิงอาจพบปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- ผิวแห้ง ผมเสียขาดความเงางาม เล็บเปราะบาง แตกหักได้ง่าย
- มีอาการทางระบบประสาท ความจำไม่ดี จดจำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก ร่วมกับมีความรู้สึกหดหู่ กังวลใจ
- หาดขาดโปรตีนในวัยเด็ก จะส่งผลให้เด็กมีร่างกายแคระแกร็น ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของโปรตีน
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีโปรตีนสูงสุด คือ ประเภท Breakfast
โซเดียม
โซเดียม คือแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย แต่หากได้รับเกินความจำเป็นก็อาจส่งผลต่อสุขภาพได้
จากรายงานการสำรวจการบริโภคอาหารของคนไทย การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2552 ในกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 2,696 คน อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป พบว่า คนไทยบริโภคโซเดียมจากอาหารเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 19-59 ปี บริโภคโซเดียมสูงถึง 2,961.9 – 3,366.8 มิลลิกรัม/วัน หรือประมาณ 1.5-1.8 เท่า ของปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน คือ ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน
สำหรับ “โซเดียม” คือ แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกายและความดันโลหิต โดยทั่วไปร่างกายต้องการโซเดียมประมาณ 1,500 มิลลิกรัม/วัน แต่ในชีวิตประจำวันของเราอาจจะบริโภคโซเดียมมากกว่านั้น โดยปริมาณโซเดียมสูงสุดที่บริโภคแล้วไม่อันตราย คือ ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน หรือเกลือประมาณ 1 ช้อนชา และหากได้รับปริมาณโซเดียมเกินความจำเป็นจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของโซเดียม
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีโซเดียมสูงสุด คือ ประเภท Breakfast
คาร์โบไฮเดรต
ประกอบไปด้วยข้าว น้ำตาล แป้ง มัน และเผือกเป็นต้น ซึ่งอาหารประเภทนี้จะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแก่ร่างกาย และนั่นก็คือการให้พลังงานแก่ร่างกายนั่นเอง มันจึงทำให้ร่างกายของคนเราสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอีกด้วย ในส่วนของพลังงานที่ได้รับจากการทานอาหารประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะหมดไปเป็นวันต่อวัน จากการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำงาน ออกกำลังกาย และเดิน เป็นต้น แต่หากคุณรับประทานอาหารประเภทนี้มากเกินความต้องการของร่างกายก็จะทำให้พลังงานถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน จนทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา
ประเภทของสารอาหารหมู่ที่ 2
คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหารประเภทนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ
- 1. โนโนแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดของโมเลกุลเล็กที่สุด จะดูดซึมจากลำไส้ได้เลยเมื่อเข้าสู่ร่างกาย โดยที่ไม่ต้องผ่านการย่อยแต่อย่างใด
- 2. ไดแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีส่วนประกอบของโมโนแซ็กคาไรด์จำนวน 2 ตัวมารวมกัน เมื่อร่างกายได้รับสารไดแซ็กคาไรด์ จะทำให้น้ำย่อยที่อยู่ในลำไส้เล็กย่อยออกมาเป็นโมโนแซ็กคาไรด์ก่อน ร่างกายจึงนำไปใช้ประโยชน์ได้
- 3. พอลีแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังมีสูตรโครงสร้างที่ซับซ้อน และประกอบไปด้วยโมโนแซ็กคาไรด์จำนวนมากมารวมกัน
คาร์โบไฮเดรตทานเท่าไหร่ถึงพอดี
ปริมาณที่แนะนำให้ทานต่อวันนั้นสำหรับคนปรกติจะแนะนำให้ทานคาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ 3 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรทานประมาณ 135-195 กรัม ต่อวัน (แล้วแต่กิจกรรมในแต่ละวัน) ปริมาณกรัมในที่นี้คือปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไม่ใช่น้ำหนักของอาหารอาหาร
ถ้าร่างกายขาดโปรตีนจะมีผลอย่างไร
โปรตีนเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ดังนั้นเมื่อขาดโปรตีนหรือได้รับโปรตีนจากอาหารน้อยเกินไป ก็จะมีผลต่อร่างกายดังต่อไปนี้
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีอาการเหน็บชา และเป็นตะคริวบ่อยครั้ง
- รู้สึกอ่อนเพลีย เจ็บป่วยง่าย ในผู้หญิงอาจพบปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- ผิวแห้ง ผมเสียขาดความเงางาม เล็บเปราะบาง แตกหักได้ง่าย
- มีอาการทางระบบประสาท ความจำไม่ดี จดจำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก ร่วมกับมีความรู้สึกหดหู่ กังวลใจ
- หาดขาดโปรตีนในวัยเด็ก จะส่งผลให้เด็กมีร่างกายแคระแกร็น ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของคาร์โบไฮเดรต
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด คือ ประเภท Smoothies & Shakes
น้ำตาล
คำนวณน้ำตาลต่อวัน มากจนเสี่ยงเบาหวานหรือไม่ ?
ตามที่องค์การอนามัยโลกระบุเอาไว้ว่า ร่างกายของคนเรามีความต้องการน้ำตาลต่อวันประมาณ 6 ช้อนชา (ประมาณ 23-25 กรัม) หรือ สูงสุดไม่เกิน 10 ช้อนชา แต่ในปัจจุบันคนไทยทานน้ำตาลเกินปริมาณไปมาก โดย จากสถิติระบุว่าเฉลี่ยแล้วคนไทยจะทานน้ำตาล 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือ 20 ช้อนชาต่อวัน เทียบเป็น 2-3 เท่า ของความต้องการน้ำตาลต่อวัน
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของน้ำตาล
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงสุด คือ ประเภท Smoothies & Shakes
ไขมัน
ไขมันรวม ไขมันต่อวัน ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สถาบันทางการแพทย์
ได้กำหนดค่า DRI(Daily Refference Intakes) หรือ ความต้องการ ไขมันต่อวัน ของแต่ละกลุ่มอายุ ดังนี้1
- เด็กทารก อายุ0-12เดือน ต้องการไขมันทั้งหมด 30 – 31กรัม/วัน
- เด็กเล็ก อายุ1-3 ปี ต้องการไขมันทั้งหมด 30 – 40% ของแคลอรี่ที่ต้องการทั้งหมด
- เด็กโต ถึงวัยรุ่น อายุ4-18 ปี ต้องการไขมันทั้งหมด 25 – 35% ของแคลอรี่ที่ต้องการทั้งหมด
- ผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ต้องการไขมันทั้งหมด 20 – 35% ของแคลอรี่ที่ต้องการทั้งหมด
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของไขมัน
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีไขมันสูงสุด คือ ประเภท Breakfast
วิตามินเอ (% มูลค่ารายวัน)
วิตามิน A เป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น, เพิ่มภูมิคุ้มกัน, ทำให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น, ทั้งยังเสริมสร้างให้กระดูก ฟันและเล็บแข็งแรง นอกจากนี้ยังป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินหายใจและระบบปัสสาวะ ผิวและผมแข็งแรง ช่วยบรรเทาโรคที่เกี่ยวกับไทรอยด์ได้
ส่วนในด้านของผิวพรรณนั้น วิตามินเอ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่, ลดอาการอักเสบของผิว, ช่วยลดเลือนจุดด่างดำได้ วิตามินเอจะมีชื่อเสียงในเรื่องของการลดสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ ในอุตสาหกรรมเวชสำอางค์ จึงได้นำวิตามินเอมาผสมทั้งครีม, แป้ง และผลิตภัณฑ์อีกหลาย ๆ ตัว
อาหารที่มีวิตามินเอโดยธรรมชาติ อยู่ในผักใบเขียว ใบเหลือง ไข่แดง ตับ นม เนย ปลา มะเขือเทศ แครอท เป็นต้น โดยวิตามินเอ ที่ได้จากเนื้อสัตว์จะดูดซึมได้ดีกว่า ในด้านของตัววิตามิน หรืออาหารเสริม จะมีการนำวิตามินเอมาผสมในปริมาณ 5,000 – 10,000 IU ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณ ที่กำลังพอดีต่อร่างกาย และได้มีการนำมาทำแบบเป็นน้ำ เพื่อใช้ประโยชน์ในการทาเพิ่มขึ้นอีกด้วย
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของวิตามินเอ
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงสุด คือ ประเภท Salads
วิตามินซี (% มูลค่ารายวัน)
วิตามิน C เป็นวิตามินที่มีประโยชน์ และปลอดภัยมากที่สุดชนิดหนึ่ง ซึ่งในร่างกายของเรา ไม่สามารถสร้างวิตามินซีเองได้ เราจึงควรต้องได้รับจากอาหาร หรือวิตามินเสริม และไม่ต้องกังวลการตกค้างภายในร่างกาย เพราะวิตามินซีนั้นสามารถละลายได้ในน้ำ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะละลาย และดึงเอาประโยชน์ไปใช้ หลังจากนั้นก็ถูกขับออกจากร่างกาย ในรูปแบบของการขับถ่ายภายใน 24 ชม. วิตามินซีจึงปลอดภัยกับร่างกายโดยแท้ วิตามินซีนั้นช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคหวัดได้ดี, ลดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ, เสริมสร้างกระดูกและฟัน และต่อต้านสารก่อมะเร็งได้เป็นอย่างดี
ส่วนในด้านของผิวพรรณ วิตามินซี มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย, ควบคุมคอเลสเตอรอลในเลือด, ช่วยลดธาตุเหล็กให้อยู่ในระดับที่พอดีในลำใส้ เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
อาหารที่มีวิตามินซีโดยธรรมชาติ คือ ผักใบเขียว และผลไม้รสเปรี้ยวต่าง ๆ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, แคนตาลูป, มันฝรั่ง, มะเขือเทศ และพริกไทย เป็นต้น ควรเก็บวิตามินซีให้พ้นจาก แสง, ออกซิเจน, น้ำ, ความร้อน, และการปรุงอาหาร การเก็บวิตามินซีที่ดีสุดคือเก็บไว้ในภาชนะที่มิดชิด และควรเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อรักษาคุณภาพของวิตามินไว้
การทานวิตามินซี ในปริมาณที่พอเหมาะนั้น จะอยู่ที่ 1,000 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งในรูปแบบอัดเม็ด หรือผสมเป็นน้ำ และควรทานหลังอาหารประมาณ 2 – 3 ชม. ถึงจะได้ผลที่ดี สำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด ควรรับประทานวิตามินซีเสริมเข้าไปด้วย การรับประทานนั้นไม่จำเป็นต้องทานทีเดียว สามารถแบ่งทานได้หลายครั้งใน 1 วัน เพียงแต่อย่าทานเกินปริมาณที่กำหนดเป็นพอ
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของวิตามินซี
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีวิตามินซีสูงสุด คือ ประเภท Beverages
แคลอรี่
ปริมาณแคลอรี่ที่ควรได้รับในแต่ละวัน
โดยปกติแล้วปริมาณของแคลอรี่ที่ควรบริโภคต่อวันสำหรับคนทั่วไปที่ทำงานหนักปานกลาง คือประมาณ 2,000 กิโลแคลอรี่ แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนักหรือต้องใช้พลังงานมาก เช่น กรรมกร หรือนักกีฬา ก็ต้องการพลังงานมากกว่านี้ ส่วนผู้ที่ทำงานเบากว่าคนปกทั่วไปก็ต้องการพลังงานน้อยกว่านี้ และการบริโภคในแต่ละมื้อสำหรับคนทั่วไม่ควรจะเกิน 600 กิโลแคลอรี่ โดยอาหารจานเดียว อย่างเช่น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว จะให้พลังงานประมาณ 300-500 กิโลแคลอรี่
ตามคำแนะนำของ Thai Recommended Daily Intakes (Thai RDI) ได้ระบุปริมาณของสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ซึ่งคิดจากความต้องการพลังงานวันละ 2,000 แคลอรี่ โดยปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันของคาร์โบไฮเดรตคิดเป็น 60% (1,200 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 300 กรัมต่อวัน, โปรตีน 10% (200 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 50 กรัมต่อวัน, และไขมัน 30% (600 กิโลแคลอรี่) หรือเป็นปริมาณที่ควรบริโภคเท่ากับ 66.6 กรัมต่อวัน หากต้องการพลังงานมากหรือน้อยกว่านี้ให้ปรับเพิ่มหรือลดลงตามสัดส่วนจากพลังงานทั้งหมดที่ต้องการต่อวัน ซึ่งร่างกายของเราจะใช้พลังงานเหล่านี้ในการทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานและกักเก็บพลังงานส่วนเกินไว้ในรูปของไขมันและแหล่งพลังงานอื่น ๆ ตามอวัยวะในร่างกายไว้ใช้ในอนาคต
กราฟแท่งแสดงโภชนาการของแคลอรี่
จากกราฟจะเห็นว่าอาหารที่มีแคลอรี่สูงสุด คือ ประเภท Breakfast
โครงงานการวิเคราะห์และสร้างภาพข้อมูลด้วย Tableau
Nutrition Facts for McDonald’s Menu
จัดทำโดย
นายณัฐภูมิ กลิ่นสายทอง 1590901128
นางสาว เพียงฟ้า ปั้นทิม 1590900880
นายอับดุลเลาะ ลีเดร์ 1590902480
นายณัฐชนนท์ ท่อนคำ 1590901987
เสนอ
อาจารย์ทศพล บ้านคลองสี่
วิชา IE311 ความน่าจะเป็นและสถิติสำหรับวิศวกร
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
—————————————————-
TABLEAU PROJECT FOR DATA SCIENCE
Nutrition Facts for McDonald’s Menu
SUBMITTED BY
NATTHAPHUM KLINSAITHONG 1590901128
PIANGFAR PANTIM 1590900880
ABDULLOH LEEDAY 1590902480
NUTTHANON THONKAN 1590901987
PRESENT
TODSAPON BANKLONGSI
IE311 PROBABILITY AND STATISTICS FOR ENGINEERS
DEPARTMENT OF ELECTRICAL AND ELECTRONICS ENGINEERING
SCHOOL OF ENGINEERING
BANGKOK UNIVERSITY
SEMESTER 2 YEAR 2018